แพลน B

ทุกวันนี้ในโลกของลูกหนัง มีระบบการเล่นเกิดขึ้นมากมายหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นการรุกเต็มสูบแบบ 4-3-3 ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็น 4-5-1 ได้ในยามรับ แผนดั้งเดิมที่ไม่เคยตกยุคแบบ 4-4-2 ไม่ว่ากองกลางจะยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ไดมอนด์ หรือแม้แต่ถอยมิดฟิลด์คู่ในไปยืนหน้ากองหลังก็ได้ทั้งนั้น แผนอุดแหลก 5-4-1 ที่ทีมเล็กๆ มักงัดออกมาใช้ยามต้องเจอกับทีมใหญ่ แผน 4-2-2-2 ที่บราซิลใช้อยู่ หรือจะเป็นระบบการเล่นที่เน้นความเหนียวแน่นในแดนกลางอย่าง 4-2-3-1 ก็เป็นที่นิยมของหลายๆ ทีม และยังมีแผนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย
แน่นอนว่าทุกๆ ทีมต่างก็ล้วนมีระบบการเล่นประจำทีมเป็นของตนเอง แต่ในบางครั้ง บางสถานการณ์ แผนการเล่นประจำทีมเหล่านั้นก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนออกไปเป็นระบบการเล่นอื่น เพื่อรับมือกับคู่แข่งบ้าง รับมือกับการติดโทษแบนหรือการบาดเจ็บของผู้เล่นภายในทีมบ้าง หรือแม้แต่เพื่อรองรับผู้เล่นที่เข้ามาใหม่ก็ตาม
ทีม แมนฯยูฯ เองก็เช่นกัน ที่ตลอดระยะเวลาการคุมทีมของ ท่าน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ท่านเซอร์ ก็ไม่เคยทอดทิ้งแผน 4-4-2 อันเปรียบเสมือนระบบการเล่นประจำทีมของปีศาจแดงไปไหน
อาจจะมีบ้างในบางช่วงที่หันไปยึดระบบการเล่นอื่น อย่างตอนที่ได้ตัว ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เข้ามา แล้วหันไปใช้แผน 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 ตามแต่ใครจะเรียก หรือ จะเป็นตอนที่ มูรินโญ่ นำระบบ 4-3-3 เข้ามาในอังกฤษ ท่านเซอร์ก็ไม่พลาดที่จะลิ้มลองการใช้ระบบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการที่เปิดตลาดซัมเมอร์นี้ แมนฯยูฯ ได้ปล่อยตัว โรนัลโด้ ออกไปให้ เรอัล มาดริด พร้อมกับการคว้าตัว อันโตนิโอ “รถด่วน” วาเลนเซีย ซึ่งเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกที่ไม่คิดทำเกินตัวโดยการขึ้นไปเล่นหน้ามาแทนที่ ทำให้ในฤดูกาลนี้ แมนฯยูฯ จึงหันกลับมายึดระบบการเล่นที่ถนัดอย่าง 4-4-2 เป็นตัวแม่ในการเล่นอีกครั้ง
ถ้าอย่างนั้น แล้วแผนสำรองหรือแผนสองที่จะไว้ใช้แก้ทางคู่ต่อสู้หรือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันล่ะ ควรจะเป็นระบบไหนถึงจะเหมาะกับทีมอย่างปีศาจแดง
ด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีให้ ท่านเซอร์ ได้เลือกใช้สอยอย่างมากมาย จึงทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนระบบการเล่น ฤดูกาลที่ผ่านมา แมนฯยูฯ ได้ใช้ระบบ 4-4-2, 4-3-3 และ 4-2-3-1 รับมือในการทำศึก
ด้วยเหตุที่แผน 4-4-2 คือแผนหลักของทีม ดังนั้นผมจะขอพูดถึงอีกสองแผนที่เหลืออยู่ ว่าแผนไหนจะเหมาะกับสภาพตัวผู้เล่นที่มีอยู่ในตอนนี้มากกว่ากัน
ระบบการเล่น 4-3-3 เป็นระบบที่เน้นการขึ้นเกมด้านริมเส้น โดยมีกองหน้ากึ่งปีกเป็นตัวทำเกม ซึ่งจะต้องเป็นผู้เล่นที่มีความคล่องตัวสูง เลี้ยงบอลได้ดี และมีการเปิดบอลที่หวังผลได้ ส่วนกองหน้าตัวเป้านั้น ต้องเก็บบอลได้ดี จะมีรูปร่างสูงใหญ่อย่าง ดร็อกบา หรือจะตัวเล็กแต่มีความเร็ว เช่น เอโต้ ก็ได้ทั้งนั้น ขณะที่แดนกลางมักจะต้องมีตัวตัดเกมชั้นดีอย่างน้อย 1 ตัว เพื่อทำหน้าที่กรองบอลที่จะผ่านไปยังแดนหลัง ส่วนมิดฟิลด์ที่เหลือก็ทำหน้าที่คุมจังหวะของเกม และคอยแจกจ่ายบอลไปยังพื้นที่ส่วนต่างๆ ของสนาม ข้อดีอีกประการของระบบนี้ก็คือ สามารถปรับเปลี่ยนไปเน้นเกมรับได้ในระบบ 4-5-1 โดยไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนตัว
ระบบการเล่น 4-2-3-1 เป็นระบบที่แบ่งหน้าที่ของมิดฟิลด์อย่างชัดเจน โดยมีมิดฟิลด์กลางสนาม 2 ตัว ทำหน้าที่นายพรานส่งน้ำ คือ แย่งบอลตัดเกมของคู่แข่งแล้วส่งบอลต่อให้เพื่อนอีก 3 คนด้านหน้าไปทำเกม ตัวรุก 3 ตัวที่ยืนอยู่หลังกองหน้านั้น จะประกอบด้วย ตัวเพลย์เมคเกอร์ 1 ตัว ซึ่งเป็นศูนย์กลางในเกมรุก และปีกอีก 2 ตัว เดินเกมริมเส้น โดยมีศูนย์หน้าตัวเป้าคอยทำหน้าที่สังหารประตูหรือพักบอลเพียงนายเดียวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาตัวผู้เล่นในแดนกลางที่ แมนฯยูฯ มีอยู่ตอนนี้ จะเห็นได้ว่านอกจาก ฮาร์กรีฟส์ ที่เจ็บบ่อยแล้ว แมนฯยูฯ ไม่มีตัวกลางรับโดยธรรมชาติเหลืออยู่เลย มีเพียงตัวที่จะทำหน้าที่ตัดเกมแบบพอถูไถได้เท่านั้น อย่างเช่น เฟล็ทเชอร์, กิ๊บสัน หรือ คาร์ริค เป็นต้น ส่วนพวก สโคลส์, กิ๊กส์, แอนเดอร์สัน หรือ ปาร์ก ต่างเป็นตัวรุกโดยธรรมชาติ จึงไม่ควรดึงมาเล่นเกมรับให้เสียของ
ดังนั้น หาก แมนฯยูฯ จะนำแผนการเล่น 4-3-3 มาใช้ อันเป็นแผนที่มีมิดฟิลด์ตัวรับยืนตัดเกมแค่คนเดียว เห็นทีว่าคงจะไม่เหมาะเป็นแน่แท้ อาจนำมาใช้ได้แต่ต้องไม่ใช่นัดเจอทีมใหญ่ด้วยกัน เพราะกองกลางที่เหลืออยู่หากไม่นับ ฮาร์กรีฟส์ ไม่มีใครที่มีศักยภาพในการตัดเกมในระดับแนวหน้าเลย ยิ่งไปเทียบกับของคู่แข่งอย่าง มาสเคราโน่ หรือ เอสเซียง ก็จะเห็นได้เลยว่ากระดูกคนละเบอร์ชัดๆ
เฟล็ทเชอร์ แม้จะพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างน่าตกใจ แต่เขาก็ยังไม่ใช่ตัวที่จะมาตอบโจทย์กลางรับได้อย่างสมบูรณ์แบบ กิ๊บสัน รูปร่างสูงใหญ่กำยำก็จริง แต่กับประสบการณ์ที่มีอยู่คงเป็นงานหนักสำหรับเขา หากให้ยืนตัดเกมกลางสนามแค่คนเดียว คาร์ริค เหมาะที่จะเป็นตัวคุมจังหวะของเกมแบบ ปีร์โล่ หรือ ชาบี มากกว่าที่จะมาวิ่งไล่ตัดเกมให้เสียดายความสามารถในการจ่ายบอล
การที่ แมนฯยูฯ จะใช้ระบบ 4-3-3 ได้อย่างสมบูรณ์นั้น คงต้องรอให้ ฮาร์กรีฟส์ กลับมาก่อน หรือไม่ก็ต้องหามิดฟิลด์ตัวรับคนใหม่เข้ามาเสริมนั้นแหล่ะครับ เพราะจากการดูผลงานของ แมนฯยูฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่า เมื่อต้องใช้ระบบนี้ การมีหรือไม่มีกลางรับอาชีพอย่าง ฮาร์กรีฟส์ ส่งผลต่อทีมต่างกันอย่างชัดเจน
ปีที่ แมนฯยูฯ คว้าถ้วย UCL + EPL ทีมทำผลงานได้ชัดเจนยิ่งนัก ขณะที่ปีกลายพอไม่มี ฮาร์กรีฟส์ แม้ยังทำผลงานได้ดี แต่กว่าจะคว้าแชมป์ลีกก็หืดขึ้นคอ แถมยังแพ้ไปกลับให้อริอย่าง ลิเวอร์พูล ให้เจ็บใจเล่นอีก ยิงประตูในลีกก็น้อยกว่า ลิเวอร์พูล อย่างที่ไม่ค่อยเป็นมาก่อนตั้งแต่มีพรีเมียร์ ลีก นี้ยังไม่รวมการพ่ายแพ้แบบหมดทางสู้แบบกองกลางวิ่งหาบอลไม่เจอในนัดชิง UCL กับ บาร์เซโลน่า ที่แม้ใครหลายคนอาจจะคิดว่าหากเกมนัดนั้นมี เฟล็ทเชอร์ ลงสนาม ทีมก็อาจจะไม่แพ้ก็ได้ แต่นั้นก็เป็นเพียงการคาดเดาหลังเกมมิใช่หรือ
ส่วนแผนการเล่น 4-2-3-1 ที่จะมีทวินมิดฟิลเดอร์คอยเบรกเกมคู่แข่ง และคุมจังหวะการเดินเกมให้ทีมตัวเองนั้น ดูจากสภาพตัวผู้เล่นของ แมนฯยูฯ แล้ว คนที่น่าจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือ คาร์ริค และ เฟล็ทเชอร์ นั้นเอง โดย คาร์ริค จะรับบทบาทตัวเชื่อมเกม และจ่ายบอลสั้นยาวให้ผู้เล่นในแนวรุก ส่วน เฟล็ทเชอร์ นั้นก็จะรับหน้าที่เป็นตัววิ่งไล่ตัดเกมคู่แข่งตามศักยภาพของตัวเอง ทั้งนี้จากที่สังเกตมาจะเห็นได้ชัดว่า เฟล็ทเชอร์ จะเล่นได้อย่างโดดเด่นมากในระบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ต้องรับหน้าที่หนักอย่างการตัดเกมคู่แข่งอยู่คนเดียวก็ได้ เพราะระบบนี้ทำให้เขามีคู่หูอีกคนคอยช่วยซ้อนเวลาพลาดอยู่นั้นเอง ผลงานที่ชัดเจนของคู่หูคู่นี้ในระบบ 4-2-3-1 ก็คือ เกม UCL ที่ แมนฯยูฯ ถล่ม โรม่า ไปอย่างขาดลอยนั้นเอง
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้เล่นในแนวรุกนั้น ทีมเราก็มีให้เลือกใช้อย่างมากมายไร้กังวล ตัวริมเส้นก็มี ปาร์ก, นานี่, โทซิช, วาเลนเซีย และ โอแบร์กต็อง ตำนานที่ยังเล่นได้อย่างโดดเด่นอย่าง น้ากิ๊กส์ ก็สามารถเล่นได้ทั้งปีก และเพลย์เมคเกอร์ แอนเดอร์สัน เองก็เป็นตัวจอมทัพโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เบิร์บ ก็เล่นได้ทั้งหน้าต่ำคอยจ่ายบอลหรือหน้าเป้าคอยพักบอล ส่วน รูนี่ย์ ก็เล่นได้ดี จะขยับไปเล่นปีกก็ได้ ขณะที่ตัวกองหน้าโดยกำเนิดก็มี โอเว่น และ มาเคด้า คอยประจำการอยู่
ด้วยเหตุผลจากสภาพตัวผู้เล่นที่มีอยู่ของ แมนฯยูฯ และจากผลงานการเล่นในระบบต่างๆ ที่ผ่านมา ผมจึงขอเลือกระบบแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1 เป็น “แผนสอง” หรือ “แพลนบี” ให้กับทีม ทั้งนี้ และทั้งนั้น นี้เป็นเพียงความคิดเห็นโดยส่วนตัวในฐานะเรด อาร์มี่ ที่รักใคร่ปีศาจแดงคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจว่าทีมจะใช้ระบบการเล่นใดยามแข่งขันจริง ก็คงมีแต่บุคคลที่เป็นกุนซือผู้ทรงอิทธิพลเหนือใครอย่าง ป๋าเฟอร์กี้ เท่านั้น ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด
MAKIBAO

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts